Category: หลอดเลือดหัวใจ
-
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
—
by
in กระเพาะ, ข่าวสุขภาพ, ความจำเสื่อม, ต้อหิน, ท้องผูก, นิ่ว, ปอด, มะเร็ง, มะเร็งตับ, วัณโรค, หลอดเลือดหัวใจ, หัวใจ, ไตภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มักเป็นตลอดชีวิต หากปล่อยปละละเลยหรือขาดการดูแล ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมไปถึงอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จะค่อย ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลงจนเกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ ซึ่งได้แก่ – หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่ทั่วร่างกายแข็งและตีบ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดความเสื่อมได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อม ตามัว ตาบอด ไตวายเรื้อรัง ประสาทเสื้อ ทำให้มีอาการชาปลายมือปลายเท้า ท้องเดินหรือท้องผูก – โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง – หน้าซีดเป็นลมเวลาลุกขึ้นยืน – องคชาตไม่แข็งตัว – หลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้หัวใจวายเสียชีวิตได้ – อัมพาต – ความจำเสื่อม – ติดเชื้อได้ง่าย เพราะเบาหวานทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอาจติดเชื้อซ้ำซาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ โรคเชื้อราที่ผิวหนัง ฝี พุพอง – การติดเชื้อรุนแรง เช่น กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ปอดอักเสบ วัณโรค –…
-
“ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า
“ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า คนทำงานบางคนมีสภาพการทำงานที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ บางคนต้องยืนทั้งวันหรือใช้เท้าในการทำงานมาก ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขายที่ต้องยืนทั้งวัน พนักงานต้อนรับ หรือแม้แต่พนักงานประกอบอุปกรณ์ในโรงงาน ฯลฯ อาชีพเหล่านี้ทำให้เกิดความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อน่อง ต้นขา เท้า ได้ง่ายมาก วันนี้จะมาแนะนำสมุนไพรสำหรับบรรเทาอาการปวดข้อเท้าค่ะ ซึ่งนั่นก็คือสมุนไพรที่เราคุ้นตากันอยู่แล้ว “ข่า” นั่นเองค่ะ “ข่า” ไม่ได้เป็นแค่สมุนไพรสำหรับการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคได้มากหมายหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร เพราะข่าช่วยย่อย ช่วยขับลม ขับน้ำดีได้ รักษาระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี รักษาอาการลมพิษ ผดผื่นคัน รักษากลากเกลื้อนได้ และยังช่วยแก้ปวดและแก้อักเสบได้ดีด้วย การนำเอาข่ามารักษาบรรเทาอาการปวดข้อเท้านั้น ก็ทำเองได้ง่าย ๆ โดยนำข่าแก่ ๆ มาโขลกแล้วคั้นน้ำออกบ้าง แล้วนำมาพอกบริเวณที่ปวดแล้วพันผ้าทิ้งเอาไว้ ที่สำคัญก็คือก่อนการพอกข่าทุกครั้งต้องทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวบนผิวหนังก่อน เพราะข่ามีฤทธิ์ร้อน อาจทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ได้ และอย่าใช้ข่ามากเกินไป หรือพอกทิ้งไว้นานเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้เช่นกัน แต่เผลอลืมนำข่าพอกลงไปบนผิวหนังก่อนที่จะทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ดำ การรักษานั้นให้นำเอามะขามเปียกมาถูบริเวณที่ไหม้เบา ๆ จนกว่าผิวหนังจะเป็นปกติ จะเห็นได้ว่าสมุนไพรของไทยเป็นภูมิปัญญาที่มีค่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นของที่หาได้ง่ายและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลเป็นอย่างดี เราคนไทยควรร่วมกันรักษาภูมิปัญญานี้ไว้นาน ๆ…
-
น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?
น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง? เดี๋ยวนี้น้ำมันสำหรับปรุงอาหารมีให้เลือกมากมายหลายชนิดเลยนะคะ ซึ่งการเลือกซื้อมาปรุงอาหารบริโภคเนี่ยก็ควรศึกษาให้ดีก่อนค่ะว่าน้ำมันแต่ละชนิดนั้นเหมาะสำหรับทำอาหารชนิดใด ความร้อนในระดับใด และมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายด้วย วันนี้เราจะมาเรียนรู้ไปด้วยกันค่ะ – น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดียวมากที่สุด จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง มีวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนสูง ทำให้ผิวหนังอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่นตัวได้ดี ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ก็มีจุดเกิดควันที่ต่ำ จึงเหมาะสำหรับเป็นน้ำมันสลัด ไม่เหมาะสำหรับการทอด หรืออาหารที่ต้องผ่านความร้อน และมีราคาค่อนข้างสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ – น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน อุดมไปด้วยกรดไลโนเลอิก ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ มีวิตามินอีสูงด้วย จึงช่วยในเรื่องของผิวพรรณ แต่เมื่อโดนความร้อนจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับการผัดอาหารที่ใช้ความร้อนเพียงปานกลาง – น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันมะกอก แต่มีราคาไม่แพง มีสารโอรีซานอลมากซึ่งไม่พบในน้ำมันพืชนิดอื่นนัก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยปรับสมดุลในสตรีวัยทองได้ดี – น้ำมันปาล์ม อุดมไปด้วยวิตามินอีและเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง ทนความร้อนสูงได้มากกว่าน้ำมันชนิดอื่นจึงเหมาะสำหรับการทอดที่สุด แต่มีกรดไขมันอิ่มตัวและกรดไลโนเลอิกต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ อาจทำให้คอเลสเตอรอลสูงได้ – น้ำมันงา มีสารเซซามอลที่มีสรรพคุณช่วยชะลอความชรา ลดความดันโลหิตและการแพร่การจายตัวของเซลล์มะเร็งได้ ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ บรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย
-
ลดเค็มลงครึ่งหนึ่งจะได้ไหม?
ลดเค็มลงครึ่งหนึ่งจะได้ไหม? ในปัจจุบันนี้คนไทยเรามีสติถิการเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงกว่า 12 ล้านคน เป็นโรคไต 8 ล้านคน โรคหัวใจขาดเลือด 7.5 แสนคน รวมถึงโรคหัวใจขาดเลือดหรืออัมพฤกษ์ อัมพาตที่มีสาเหตุมาจากการกินอาหารที่มีรสเค็มหรือมีโซเดียมสูงมาก ทำร้ายร่างกายได้ในระยะยาว ซึ่งจากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคเกลือหรือโซเดียมสูงเกินกว่าที่แนะนำต่อวันถึงสองเท่าตัว หรือประมาณ 5,000 มิลลิกรัมต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งมักอยู่ในรูปของเครื่องปรุงรสต่ง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำปลา ซีอีว ผงชูรส เกลือ กะปิ เครื่องแกง น้ำปลาร้า ผงฟู ฯลฯ อาหารที่เป็นนิยมและมีโซเดียมอยู่มากมักไม่ใช่อาหารสดแต่จะเป็นอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารแปรรูป ไมว่าจะเป็น อาหารกระป๋อง อาหารดองเค็ม ตากแห้ง แช่อิ่ม บะหมี่วอง กุนเชียง ลูกชิ้น ไข่เค็ม ขนมถุง ขนมปัง ฯลฯ แม้แต่กับข้าวสำเร็จที่ขายก็ยังมีโซเดียมสูงมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแกงไตปลา ไข่พะโล้ คั่วกลิ้ง แม้แต่ในอาหารจานเดียวอย่าง ข้าวหน้าเป็ด ข้าวขาหมู ข้าวคลุกกะปิ ข้าวมันไก่ ก็มีโซเดียมต่อจานตั้งแต่ 1,000-2,000 มิลลิกรัมเลยนะคะ…
-
ระยะต่าง ๆ ของโรคอัลไซเมอร์
ระยะต่าง ๆ ของโรคอัลไซเมอร์ ความแก่ชรานั้นเป็นโรคชนิดหนึ่ง แล้วยังกระตุ้นให้เกิดความเสื่อมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง หลอดเลือดหัวใจ กระดูกพรุน อัลไซเมอร์และโรคอื่น ๆ เข้ามาทำลายร่างกายได้อีก ยิ่งมลภาวะในสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันยิ่งมากขึ้น ก็ยิ่งเร่งให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ในร่างกายมากขึ้นด้วย ความแก่ชราจึงมาเยือนเร็วกว่าเดิม สมองก็เป็นอีกอวัยวะหนึ่งเช่นกัน ที่ได้รับผลกระทบจากความแก่ชราของร่างกายไปด้วย โรคอัลไซเมอร์ คือโรคที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมของเซลล์สมอง ถูกค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา และยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มักพบได้ในคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป โรคนี้ทำให้เกิดความบกพร่องในระดับของสติปัญหา ทั้ง ความคิด ความจำ การตัดสินใจ ซึ่งอาการของโรคนี้จะแบ่งออกเป็นสามระยะได้แก่ – ระยะแรก ผู้ป่วยจะเสียความจำ ที่ไม่เหมือนกันหลงลืมทั่วไป แต่จะจำอดีตไม่ได้ จำสิ่งใหม่ ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าก็ไม่ได้ – ระยะที่สอง ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นภาพหลอน หูแว่ว ก้าวร้าว อาจเดินออกจากบ้านแล้วกลับบ้านไม่ถูก – ระยะสุดท้าย สมองจะถูกทำลายจนไม่สามารถควบคุมการทำงานต่างๆ ของร่างกายได้ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด ผู้ป่วยจะมีความยากลำบากในการสื่อสาร การคิด การเรียนรู้ การใช้เหตุผล ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างรุงแรง…
-
ทำความรู้จักและป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ทำความรู้จักและป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น เกิดจากการที่เมื่ออายุมากขึ้น จะเกิดพลัคมาอุดตันที่หลอดเลือดทำให้เกิดการตีบตันของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงหัวใจ ซึ่งพลัคดังกล่าวเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น น้ำตาลในเลือด ไขมันชนิดแอลดีแอล มีความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่จัด ทำให้เกิดการอักเสบและแตกตัวของพลัคขึ้น คราบของพลัคเหล่านี้จะจับตัวกับเกล็ดเลือดกลายเป็นลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจจึงตายได้ทันที โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันนี้จะแสดงอาการออกมาได้สองกลุ่มก็คือ – จะมีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอกเหมือนมีของหนักมาทับ เจ็บร้าวบริเวณใบหน้า ใต้ลิ้น คาง ใบหู หัวไหล่ มีเหงื่อไหลโชกเหมือนน้ำราด ไอ หอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ – อีกกลุ่มอาการได้แก่ ชาและเจ็บบริเวณแขนข้างซ้าย ตั้งแต่นิ้วชี้และนิ้วก้อยไล่มาที่แนวท้องแขนไปจนถึงรักแร้ เวลาตื่นเต้นมือจะเย็นและมีเหงื่อออกชุ่ม หายใจไม่ออกและเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ หรือมีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ โดยไม่ทราบสาเหตุ การดูแลสุขภาพและป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้นได้แก่ การลดอาหารที่มีความเค็ม และอาหารที่มีไขมันสูง งดการสูบบุหรี่ และการดื่มเหล้าเบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ลดน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน ฝึกหัดกินอาหารที่มีคุณภาพตั้งแต่เด็ก ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ กินผักและผลไม้ไม่หวานบ่อย ๆ อารมณ์ดีเข้าไว้ ห่างไกลความเครียด นอนหลับให้เพียงพอ แค่นี้ก็ป้องกันและลดอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้แล้วนะคะ
-
ภาวะซึมเศร้า ทำให้โรคทรุดลง
ภาวะซึมเศร้า ทำให้โรคทรุดลง ภาวะซึมเศร้านั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงและตัวพยากรณ์โรคที่สำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆ ด้วย เช่น ภาวะซึมเศร้าจะทำให้เพิ่มโอกาสในอ้วนขึ้นร้อนละ 58 และในทางตรงข้างความอ้วนก็เพิ่มโอกาสซึมเศร้าด้วยร้อนละ 27-55 ภาวะซึมเศร้าเพิ่มโอกาสกล้ามเนื้อตายได้มากกว่าครึ่ง และผู้ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หากมีอาการซึมเศร้าด้วยจะเพิ่มโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าสองเท่าเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับผู้ป้วยที่ไม่เป็นโรคซึมเศร้า การใช้จิตบำบัดจึงช่วยลดความซึมเศร้าได้ดีกว่าการใช้ยาอยู่บ้าง การทำจิตบำบัดง่าย ๆ สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องนอนอยู่บ้านจนเกิดความรู้สึกหมดหวังแล้วนั้น ลองพูดคุย ชวนคนอื่น ๆ มาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ และสนับสนุนให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง หรือหาอะไรให้เขาทำแก้เซ็งแบบที่เขาชอบ บางรายก็ใช้วิธีการนวดกดจุดเพื่อลดปวด และใช้การทำสมาธิบำบัดเข้ามาช่วยด้วย การทำสมาธิบำบัดนั้นจะช่วยลดอการปวดได้ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้ดีขึ้น การทำจิตบำบัดด้วยการทำสมาธิเป็นการเยียวยาตนเอง ทำให้ร่างกายหลังเอนโดรฟีนส์ ทำให้มีความสุขใจมากขึ้น เบิกบาน สดชื่นและมองโลกในแง่ดี อาการซึมเศร้าจะลดลง ความทุกข์ทรมานจะลดลงและเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ซึ่งการทำสมาธิบำบัดนี้สามารถประยุกต์ใช้ในคนไข้โรคเรื้องรังอื่น ๆ ได้อีกหลายโรค เพียงการหายใจเข้าออก ลึก ๆ ยาว ๆ อย่างน้อยหนึ่งร้อยครั้งในแต่ละวัน ก็ช่วยได้มากแล้ว ยิ่งหากฝึกไปเรื่อย ๆ จะพบว่าจิตใจมีความสบาย ร่างกายมีความเจ็บปวดน้อยลงไปเองจริง ๆ
-
เทคนิคการเลิกบุหรี่ ที่มีคนทำตามแล้วได้ผล
เทคนิคการเลิกบุหรี่ ที่มีคนทำตามแล้วได้ผล สาเหตุที่บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะนิโคตินที่มีอยู่ในบุหรี่นั้นทำให้เกิดความดันโลหิตสูง มีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นทำให้หลอดเลือดที่มาเลี้ยงหัวใจหดเกร็ง หัวใจจึงต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น คาร์บอนมอนนอกไซด์สามารถจับกับเม็ดเลือดแดงได้อย่างถาวร จึงเหลือเม็ดเลือดแดงที่จะนำพาออกซิเจนและคาร์บอนมอนนอกไซด์ได้น้อยลง จึงไม่เพียงพอ เม็ดเลือดแดงที่กระด้าง ทำให้ผนังหลอดเลือดเป็นแผล หากเป็นหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ จะทำให้หัวใจขาดเลือด ยิ่งหากมีไขมันในเลือดสูง เป็นโรคอ้วน หรือไม่ออกกำลังกาย และมีความเครียดด้วยแล้ว ความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจนี้ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง ลองทำตามเทคนิคเหล่านี้ดู ได้ผลอย่างแน่นอนค่ะ 1. ต้องตั้งใจที่จะเลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาดเสียก่อน 2. ขอกำลังใจจากคนใกล้ชิดและคนในครอบครัว 3. ดื่มน้ำให้มากอย่างน้อยวันละสองลิตร จะช่วยกำจัดนิโคตินจากร่างกาย 4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน พวกชากาแฟอื่น ๆ รวมไปถึงแอลกอฮอล์ด้วย 5. หากรู้สึกง่วงนอน อ่อนพลีย หงอยเหงา ไม่สบายตัวควรอาบน้ำ หรือใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัว จะทำให้สดชื่นขึ้นแล้วค่อยไปหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ 6. ไม่ควรทานอาหารอิ่มเกินไปหรืออาหารที่มีรสจัดจะทำให้อยากบุหรี่เพิ่มขึ้น 7. ทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น แทนอาหารที่ทานอยู่ประจำ 8. หมั่นออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟีนออกมา
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำดีกว่านะ
หลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำดีกว่านะ อาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำพบได้มากในท้องตลาดจริง ๆ นับตั้งแต่เช้าที่เราทานปาท่องโก๋ทอด ก็ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ลูกชิ้นไส้กรอกทอด ทอดมัน เฟรนส์ฟราย ฯลฯ ล้วนก็ใช้น้ำมันทอดซ้ำในการปรุงอาหารทั้งนั้น อาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก เพราะมีสารที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และอาจทำให้ร่างกายได้รับสารก่อมะเร็งอีกด้วย สารดังกล่าวก็คือสารโพล่าร์ และโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน พบได้ทั้งในน้ำมันที่ทอดและจากไอระเหยขณะทอด เป็นอันตรายทั้งผู้ขายและผู้บริโภคนั้นเอง ซึ่งน้ำมันที่เสื่อมสภาพจากการทอดซ้ำนั้น เมื่อดูด้วยสายตาจะพบว่ามีความข้นหนืดมากกว่าปกติ มีสีดำเป็นฟองมาก เหม็นไหม้ เกิดควันมากขณะทอด น้ำมันปรุงอาหารจะเสื่อมสภาพได้มากเมื่อถูกความร้อนสูงและมีความชื้น ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดสารโพลาร์ ยิ่งเติมเครื่องปรุงหรือเกลือลงไปด้วยแล้ว ยิ่งเท่ากับเป็นการเร่งให้เกิดสารโพล่าร์มากขึ้นเท่านั้น ในภาคเหนือเองก็มีการใช้น้ำมันทอดซ้ำสำหรับการแคบหมูกับอยู่เนือง ๆ การใช้น้ำมันซ้ำ และนำเอาน้ำมันหมูไปแบ่งขายอีก อาจทำให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตได้รับอันตรายจากสารต่าง ๆ ดังนั้นหลีกเลี่ยงได้ก็จะเป็นการดีกว่าค่ะ
-
อร่อยปาก…ลำบากพุง !!!
อร่อยปาก…ลำบากพุง !!! อาหารอร่อย ๆ นั้นทุกคนไม่ว่าใครก็ชอบกิน เพราะอาหารอร่อยทำให้ผู้ทานรู้สึกมีความสุข คลายเครียดได้ หลายคนที่มีความเครียด หรือความกดดันจากชีวิตด้านอื่นมักจะเลือกการกินเพื่อบรรเทาความเครียดในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่ถูกปากที่ถูกปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ กลิ่นหอมที่ได้กลิ่นเมื่อไรก็น้ำลายสอ ความอร่อย หวานหอม สดชื่นจากเครื่องดื่ม และบรรยากาศดี ๆ ในร้านอาหารก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากกินบ่อย ๆ เมื่อเป็นแบบนี้นาน ๆ เข้า ความอ้วนและน้ำหนักเกินก็มาเยือน ยิ่งถ้าไม่ค่อยมีเวลาได้ออกกำลังกายมากขึ้น การมีโรคเรื้อรังก็ตามมา และนับวันปัญหาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งในประเทสสหรัฐอเมริกาแล้ว อาหารที่ประชากรในประเทศทานก็ยิ่งเอื้อให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มันฝรั่งทอด เนื้อแดงชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไส้หรอก หมูแฮม เบคอน อาหารขยะต่าง ๆ รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่คนอเมริกันทำนั้นก็ไม่ค่อยจะทำให้มีให้มีสุขภาพดีเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง ๆ นอนๆ ดูทีวี หรือนอนน้อย เหล่านี้ทำให้ชาวอเมริกันประสบปัญหากับโรคอ้วนมากขึ้น แม้แต่คนไทยเองที่เริ่มกินเนื้อสัตว์มากกว่ากินข้าวและผัก ดื่มน้ำอัดลม ชาเย็น ของทอดน้ำมัน และอาหารปรุงแต่งมากขึ้น กินผักผลไม้น้อยลง นั่ง…