Tag: มะเร็ง
-
9 โรคใหม่มีสาเหตุจากบุหรี่ !!!
—
by
9 โรคใหม่มีสาเหตุจากบุหรี่ !!! ในโอกาสครบรอบห้าสิบปีของการประกาศว่า การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุสำคัญของ โรคมะเร็งปอด และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ล่าสุดมีการรับรองว่า 9 โรคใหม่ ที่เกิดจากการสูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่มือสองจากผู้อื่นได้แก่ 1. มะเร็งตับ 2. มะเร็งลำไส้ 3. วัณโรค ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นวัณโรคมากขึ้น เสียชีวิตมากขึ้นและกลับมาเป็นซ้ำมากขึ้นด้วย 4. เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานถึงร้อยละ 30-40 เทียบกับผู้ที่ไม่สูบ 5. จอประสาทตาเสื่อมซึ่งจะสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น 6. เพดานปากแหว่งตั้งแต่เกิด ในแม่ที่สูบบุหรี่ 7. ตั้งครรภ์นอกมดลูก 8. โรคข้อรูมาตอยด์และภาวะภูมิต้านทานร่างกายลดลง 9. โรคเส้นเลือดในสมองตีบหรือโรคเส้นเลือดในสมองแตกจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ซึ่งรายงานฉบับนี้มีความสำคัญมากต่อประเทศไทย เพราะโรคมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นโรคมะเร็งที่ชายไทยเป็นมากที่สุด ในขณะที่เบาหวานและวัณโรคก็เป็นโรคที่คนไทยเพิ่มจำนวนมากขึ้น เป็นผลมากจากการสูบบุหรี่ของชายไทยที่สูงขึ้น งานนี้นอกจากผู้สูบบุหรี่ต้องรักษาสุขภาพของตัวเองแล้ว งานควบคุมยาสูบในประเทศไทยก็ยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมทั้งรัฐบาลอย่างจริงจังในการควบคุมด้วย
-
ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้
ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ การหาเวลาการออกกำลังกายวันละ 30 นาที เพียงแต่สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ยังผลให้สุขภาพกายเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยต่อต้านโรคภัยได้หลากหลาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณดังต่อไปนี้ 1. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายออกทางรูขุมขนซึ่งก็คือเหงื่อนั่นเอง ช่วยลดสารพิษตกค้างในร่างกายด้วย 2. ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น กว่าร้อยละ 70 ของคนที่ออกกำลังกายจะนอนหลับได้สนิทกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ทั้งนี้ควรออกกำลังกายก่อนเวลา 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ 3. ช่วยเสริมสร้างความจำ ทำให้ความจำดีขึ้น กระตุ้นความคิดและทำให้สุขภาพจิตดี ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ 4. ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดเวลาการย่อยลง ลดความเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารและลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี ส่งเสริมให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานได้มากขึ้น เพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารด้วย 5. ทำให้มีสุขภาพจิตทีดี ลดความเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลต่าง ๆ ลดความคิดในการฆ่าตัวตายได้ 6. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง มวลกระดูกเพิ่มขึ้นและหนาแน่นขึ้น ลดความเจ็บปวดจากหลังได้ร้อยละ 80 กระตุ้นการทำงานของกระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อโดยรอบ ช่วยขับของเสียออกจากล้ามเนื้อและกระดูกให้มีความแข็งแรงมากขึ้นได้ 7. ป้องกันโรคหวัด ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคได้รวดเร็วและตอบสนองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงติดโรคเรื้อรังได้…
-
“ลุง สัมฤทธิ์ เรืองแสง” อายุ 78 ปี ป่วยเป็น มะเร็งที่โพรงจมูก
“ลุง สัมฤทธิ์ เรืองแสง” อายุ 78 ปี ป่วยเป็น มะเร็งที่โพรงจมูก เมื่อวันที่ 25 สค. 57 จาก Facebook คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้มีการเข้าไปช่วยเหลือคุณลุงสัมฤทธิ์ ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่โพรงจมูก ซึ่งตอนนี้เซลล์มะเร็งก็ได้กัดกินเนื้อที่ใบหน้าไปอย่างมาก น่าสงสารมากๆ สำหรับคนที่ต้องการช่วยเหลือคุณลุง สามารถช่วยกันบริจาคได้ตามบัญชีที่คุณบิณฑ์ให้ไว้ได้เลยค่ะ ^__^ “สวัสดีครับเพื่อนๆ..ตอนนี้ผมอยู่กับลุงสัมฤทธิ์ เรืองแสง อายุ 78 ปี ลุงป่วยเป็นมะเร็งที่โพรงจมูก เมื่อกันยาปี 56 ลุงก็รักษามาตลอดที่ รพ จุฬา ใช้บัตร 30บาท รักษาอยู่ ลุงอยู่กับลูกสาวอายุ 48ปี คอยดูแลลุง แต่แผลของลุงมีกลิ่นเหม็นมากและยังมีการเน่าอยู่ข้างใน ลุงบอกพรุ่งจะไปหาหมอยังไม่มีค่ารถเลย อาชีพก็ไม่มี เมื่อก่อนยังหาทำโน้นทำนี่ได้ พอป่วยขึ้นมาก็หมดเลย ได้เงินผู้สูงอายุเดือนล่ะ 700 บาท ก็พอเลี้ยงตัวแต่ลูกก็รับจ้างทำงานเป็นบางวัน วันละ 300บาท วันนี้ผมเข้าไปหามา ที่บ้านลุงก็จะพังอยู่แล้ว เช่าเขาเดือนล่ะ 1,700…
-
สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณอาจเป็นโรคมะเร็ง
สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณอาจเป็นโรคมะเร็ง นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นคนมา สถิติคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับที่หนึ่ง แล้วก็ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากทุกปีด้วย แม้บางคนจะเชื่อว่าโรคนี้เป็นโรคกรรมเวรอะไรก็ไม่รู้ได้ แต่ความจริงแล้วโรคนี้มีบ่อเกิดมาจากการพฤติกรรมของตนเองทั้งสิ้น หากไม่อยากเป็นมะเร็งแล้ว กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำให้ปฏิบัติตัวดังนี้คือ หมั่นออกกำลังหายเป็นประจำ ทำจิตใจให้สบาย สดใสเสมอ ทานผักและผลไม้สดให้มาก รับประทานอาหารให้มีความหลากหลาย และพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทุกปี นอกจากนี้ยังควรงดเว้นพฤติกรรมที่อาจทำให้เป็นบ่อเกิดของมะเร็งด้วย ได้แก่การงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา มั่วเซ็กซ์ ไม่ออกแดดจัด และไม่กินปลาน้ำจืด หอย หรือสัตว์น้ำจืดดิบ ๆ ด้วย ควรสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองไว้ หากมีสัญญาเตือนอย่างใดอย่างหนึ่งในเจ็ดข้อนี้แล้วควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจให้ละเอียด หากพบว่าเป็นมะเร็งจะสามารถตรวจรักษาหายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ 1. มีการขับถ่ายที่ผิดปกติหรือเปลี่ยนแปรไปจากเดิม 2. เป็นแผลไม่ยอมหาย 3. ร่างกายมีตุ่ม มีก้อน ขึ้นมา 4. กลืนอาหารไม่ได้หรือกลืนได้ลำบาก 5. ตามทวารต่างๆ มีเลือดไหลออกมา 6. ไฝหรือหูดที่มีอยู่เดิม มีลักษณะเปลี่ยนไป 7. เสียงแหบเรื้อรัง ไอไม่ยอมหาย คนเราทุกคนนั้นมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาได้เมื่อไร หากเมื่อใดที่ร่างกายแข็งแรงพอ เซลล์มะเร็งก็จะถูกทำลายไปเอง การเป็นมะเร็งนั้นจึงเป็นสัญญาณเตือนบอกว่าคน ๆ…
-
“ขมิ้นชัน” สมุนไพรป้องกันมะเร็ง
“ขมิ้นชัน” สมุนไพรป้องกันมะเร็ง ในขณะที่ความสะดวกสบายทันสมัยของโลกกำลังก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ โรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็งกลับกลายเป็นภัยคุกคามมนุษยชาติ มากยิ่งกว่าในยุคไหน ๆ แต่อย่างไรก็ดี ยังโชคดีที่คนไทยเรายังมีสมุนไพรอยู่ชนิดหนึ่ง ที่หาทานได้ง่าย และเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้กันมาช้านานที่อาจจะเป็นความหวังใหม่ในการรักษาโรคมะเร็ง สมุนไพรชนิดนั้นก็คือ “ขมิ้นชัน” นั่นเองค่ะ ขมิ้นชันมีสารที่ช่วยยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ช่วยยับยั้งการแบ่งตัว และทำให้กลไกที่ทำให้เซลล์ตายเป็นปกติ จึงช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยคีโม ทำให้การฉายรังสีมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยขมิ้นชันช่วยให้เซลล์มะเร็งไวต่อการฉายรังสี และช่วยป้องกันเซลล์ปกติมิให้ถูกรังสีทำลายได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งการกินขมิ้นชันยังไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีความเป็นพิษต่อร่างกายอีกด้วย แต่ขมิ้นชันเองก็ต้องมีข้อควรระวังในการใช้งานเช่นกัน 1. ผู้ป่วยที่มีอาการท่อน้ำดีอุดตันไม่ควรกินขมิ้นชัน เพราะอาจทำให้น้ำดีหลั่งออกมาแล้วตกตะกอนในถุงน้ำดี ยิ่งทำให้อุดตันมากขึ้นและปวดขึ้นด้วย แต่หากเป็นคนปกติทานจะกระตุ้นการหลั่งน้ำดีป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ 2. ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น ยาวาร์ฟาริน จะเสริมฤทธิ์กันทำให้เลือดออกมากกว่าเดิม จึงไม่ควรทานขมิ้นชัน อย่างไรก็ดี ขมิ้นชันก็ไม่ใช่ยารักษาโรคมะเร็ง ไม่พบความเป็นพิษและสามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แม้จะทานเข้าไปก็ไม่ก่อให้เกิดผลเสีย หากคนไทยหันมากินขมิ้นชันมากขึ้นก็จะช่วยต้านทานการก่อกำเนิดของเซลล์มะเร็งได้ จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในระยะยาว
-
ผู้หญิงวัยทอง อ้วนง่ายขึ้นนะจ๊ะ
ผู้หญิงวัยทอง อ้วนง่ายขึ้นนะจ๊ะ ในผู้หญิงวัยทองเมื่อฮอร์โมนหมดไปแล้วจะมีอาการหงุดหงิดได้ง่าย อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับและใจสั่น ซึ่งอาการก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่สิ่งที่รุนแรงกว่าคือโรคเรื้อรังที่เกิดจากวัยหมดประจำเดือน เกิดจากความชราภาพของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายตามกระบวนการธรรมชาติ ซึ่งฮอร์โมนก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย หากร่างกายมีภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกที่จะเป็นโรคความดันโลหิต เบาหวาน ไขมันเลือด โรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ง่ายมากยิ่งขึ้นด้วย ในช่วงวัยหมดประจำเดือนจึงต้องเป็นช่วงเวลาที่ควบคุมการเพิ่มของน้ำหนักอย่างเข้มงวด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของโรคร้ายแรงที่อาจคร่าชีวิตก่อนวัยอันควรได้ ในวัยอื่นนั้น ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายมีความอ้วนน้ำหนักเกินขึ้นอยู่กับการทานอาหารเป็นสำคัญ แต่ในวัยหมดประจำเดือน บางครั้งแม้จะควบคุมอาหารอย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถควบคุมน้ำหนักไว้ได้ ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือควรควบคุมไว้ตั้งแต่วัยก่อนหมดประจำเดือน ในสังคมคนเมืองปัจจุบันนี้อาหารการกินกลับเริ่มแย่ลง คนเรากินอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันสูง ไม่มีคุณค่าทางอาหารมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ง่าย จริงอยู่ว่าเราอาจไม่สามารถทำอาหารทานเองได้ทุกมื้อ แต่เป็นไปได้ก็ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีไขมันต่ำ มีรสหวานน้อย ๆ เค็มน้อย ๆ แล้วทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ตั้งแต่วัยก่อนหมดประจำเดือน ในส่วนของการออกกำลังกาย อย่างน้อยที่สุดควรให้ร่างกายได้ออกกำลังกายบ้าง แต่ละวันให้มีเวลาเดินเล่นอย่างน้อย 30-60 นาที จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก ควรเดินในเวลาที่มีแดดอ่อน ๆ อย่างช่วงเช้า ช่วงเย็น การตากแดดอ่อน ๆ จะช่วยให้ผิวหนังได้รับวิตามินดี ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันรุดหน้าไปมาก…
-
ทานเนื้อสัตว์แปรรูปมาก ๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
ทานเนื้อสัตว์แปรรูปมาก ๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ไส้กรอก หมูแฮม เบคอน เป็นอาหารที่ซื้อหาทานได้ง่าย และหลาย ๆ คนก็ชอบด้วย เพราะหาซื้อง่าย กินก็อร่อย แต่รู้กันบ้างหรือเปล่าคะว่า สารโซเดียมไนไตรท์ ที่ผสมอยู่ในอาหารเหล่านี้นั้นหากทานมากเกินไป จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ โซเดียมไนไตรท์นี้ จะผสมอยู่ในอาหารแปรรูปจำพวกไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม กุนเชียง ไส้กรอกเปรี้ยว มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว คล้ายน้ำตาลทราย ผสมลงไปเพื่อให้คงสภาพของสีสันและกลิ่นของไส้กรอกไว้ได้นาน ๆ หากได้รับสารนี้ในปริมาณมากก็จะเป็นอันตรายได้ เมื่อสารชนิดนี้ทำปฏิกิริยาเคมีกับเนื้อสัตว์อาจทำให้เกิดโรคชนิดเฉียบพลัน และโรคเรื้อรังเช่นมะเร็งได้ เมื่อเราทานอาหารเหล่านี้ลงไป ไนไตรท์จะทำปฏิกิริยาในร่างกายเกิดเป็นกรดไนตรัสขึ้นมา เมื่อเราทานโปรตีนลงไปจะทำปฏิกิริยากับโปรตีน เกิดเป็นไนโตรซามีน ซึ่งไนโตรซามีนนี่ล่ะค่ะเป็นสารก่อเกิดมะเร็ง หากเราทานอาหารที่มีไนไตรท์สะสมไว้นาน ๆ สารนี้ก็จะทำปฏิกิริยาภายในร่างกายเราไปเรื่อย ๆ เราจึงมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ นั่นเอง แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่สามารถทานอาหารเหล่านี้ได้เลย เพียงแต่เลือกทานน้อย ๆ และนาน ๆ ทานทีหนึ่งก็พอ ควรทานเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงสุกแบบสดๆ ใหม่ ๆ ดีกว่า เพราะจะไม่เกิดสารพิษตกค้างในร่างกายมากเท่าอาหารแปรรูป และควรเลือกทานอาหารให้หลากหลายมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนของผักและผลไม้เข้าไป…
-
ทานถั่วป่นและพริกป่นมากเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้นะ
ทานถั่วป่นและพริกป่นมากเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้นะ นอกจากสารอะฟลาทอกซินจะพบมากในถั่วป่นแล้ว ในพริกป่นก็สามารถพบได้มากเช่นเดียวกัน โดยสารชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็งตับร้ายแรง พบได้ในถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์ทำจากถั่วลิสงทุกชนิด รวมไปถึงธัญพืชและผลิตภัณฑ์แปรรูปหลากหลาย เนื่องจากสารพิษอะฟลาทอกซินนี้สามารถทนความร้อนได้ถึง 250 องศาเซลเซียส ดังนั้นแม้จะนำเอามาปรุงอาหารแล้วก็ยังไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้อยู่ดี ยิ่งหากเป็นแม่ลูกอ่อนทานอาหารที่มีสารพิษนี้เข้าไป สารพิษจะถ่ายทอดสู่ลูกได้ผ่านทางน้ำนมและทำอันตรายต่อทารก ซึ่งเคยปรากฏในการศึกษาวิจัยมาแล้ว หากจำเป็นต้องทาน ก็ควรเลือกให้ดี เมื่อไปกินอาหารนอกบ้านควรระวังอาหารที่ต้องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็น ก๊วยเตี๋ยว ผัดไทย ยำ ฯลฯ หรืออาหารที่ปรุงรสจัดอื่น ๆ หากสังเกตได้ว่าเครื่องปรุงในพวงเครื่องปรุงมีความอับชื้นและมีกลิ่นหืน จับตัวเป็นก้อนและมีสีที่ไม่ปกติ เช่น มีสีเหลืองคล้ำหรือมีเชื้อรา ฯลฯ ก็ไม่ควรตักมาปรุง หลีกเลี่ยงไปเลยจะปลอดภัยกว่า และควรกำชับให้แม่ค้าว่าไม่ใส่ถั่วป่นหรือพริกป่น แต่ให้ปรุงด้วยพริกสดแทน ก็จะได้รสชาติที่เผ็ดร้อนเหมือนกัน
-
10 ข้อการใช้น้ำมันทอดอาหาร เลี่ยงมะเร็งได้
10 ข้อการใช้น้ำมันทอดอาหาร เลี่ยงมะเร็งได้ อาหารทอดซ้ำเป็นอาหารที่ทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากที่สุดชนิดหนึ่ง ยิ่งหากเป็นอาหารที่ซื้อจากผู้ประกอบอาหารขายแล้วก็มักจะใช้น้ำมันทอดซ้ำเพื่อประหยัดต้นทุนเสมอ ดังนั้นการซื้ออาหารจากร้านเหล่านี้จึงทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมากกว่าการซื้อหามาปรุงเอง ในส่วนของผู้ที่ปรุงอาหารทานเอง จึงควรระมัดระวังการใช้น้ำมันให้มาก ลองนำเอาวิธีการเหล่านี้ไปใช้เป็นคู่มือการประกอบอาหารของคุณกันนะคะ 1. ควรใช้น้ำมันพืชในการปรุงอาหารมากกว่าน้ำมันสัตว์ เพื่อมิให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 2. ควรใช้น้ำมันที่เหมาะสำหรับการทอดเช่น น้ำมันปาล์มโอเลอิน ที่มีความคงตัวและเกิดควันช้า 3. ไม่ควรใช้น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันหมู น้ำมันวัว และไขมันอื่น ๆ ทอดอาหาร เพื่อน้ำมันเหล่านี้มีสภาพไม่คงตัวและเสื่อมสภาพเร็ว 4. หากน้ำมันที่ใช้ทอดมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เช่น มีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น เป็นสีดำ เกิดฟอง ควัน เหม็นไหม้ มีไอน้ำมัน ทำให้ระคายเคืองตาและลำคอ ให้เปลี่ยนน้ำมันทอดใหม่ทันทีอย่าเสียดายค่ะ 5. ในระหว่างและหลังการทอดอาหารควรกรองกากอาหารทิ้งด้วย โดยเฉพาะอาหารที่มีการชุบแป้ง ควรใช้ตะแกรงหรือผ้าขาวบางกรองเศษอาหารและผงขนาดเล็กออกจากน้ำมัน 6. เพื่อลดการแตกตัวของน้ำมันและชะลอการเสื่อมสลายของน้ำมันทอดอาหาร ควรซับน้ำมันส่วนเกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนจุ่มลงไปทอดในกะทะ 7. ควรทอดอาหารครั้งละไม่มาก เพื่อให้ความร้อนเกิดขึ้นกับน้ำมันน้อยและใช้เวลาการทอดน้อยลง 8. ไม่ควรทอดด้วยไฟแรงเกินไปนัก 9. ควรเปลี่ยนน้ำมันทอดบ่อย ๆ หากทอดอาหารที่มีเครื่องปรุงเป็นเกลือหรือมีเครื่องปรุงจำนวนมาก…
-
ปล่อยตัวให้อ้วนตั้งแต่วัยรุ่น เสี่ยงการมะเร็งได้สูงในระยะยาว
ปล่อยตัวให้อ้วนตั้งแต่วัยรุ่น เสี่ยงการมะเร็งได้สูงในระยะยาว มีงานวิจัยที่ระบุว่าเด็กวัยรุ่นที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้น ๆ ของชีวิตจะทำให้มีโอกาสในการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกันถึงร้อยละ 35 เลยทีเดียว แม้จะโตมาแล้วปรับปรุงดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายและเปลี่ยนแปลงการกินอาหารไปแล้ว แต่ความเสี่ยงก็ไม่ได้ลดลงตามไปด้วยเลย ซึ่งการวิจัยหนนี้นั้นเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลของนักศึกษาชายเกือบสองหมื่นคนที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงปะ 191601950 โดยนักวิจัยจาก Medical Research Council (MRC), University College London และ Harvard School of Public Health พบว่าคนที่อ้วนตั้งแต่อายุ 18 ปีนั้น จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากมะเร็งได้มากกว่าผู้ที่มีรูปร่างปกติหรือมีค่า BMI ต่ำ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ความอ้วนในช่วงวัยรุ่น ทำให้คนเราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในภายหลังแม้ว่าต่อมาจะสามารถลดน้ำหนักได้ในวัยกลางคนแล้ว แต่ความเสี่ยงดังกล่าวก็ยังมีอยู่เท่าเดิม และความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งนี้ก็ยังมากในกลุ่มที่อ้วนในวัยรุ่น มากกว่าอ้วนในวัยกลางคนเสียอีก การวิจัยนี้ทำให้เราทราบว่า การรักษาสุขภาพให้ดีก็ต้องเริ่มต้นรักษาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ไม่ควรปล่อยตัวให้อ้วน และควบคุมน้ำหนักของร่างกายให้อยู่ในมาตรฐานไว้ตลอดเพื่อลดโอกาสการเป็นมะเร็งด้วย แต่สำหรับในเมืองไทยนั้น พ่อแม่ที่มีลูก ๆ อยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งมักจะห่วงสวยงามอยู่แล้ว พ่อแม่ก็ควรแนะนำแนวทางในการลดน้ำหนักที่ถูกต้องให้กับลูก ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร การเลือกทานอาหารที่มีไขมันต่ำ การไปออกกำลังกาย และคอยดูแลไม่ให้ลูกพึ่งการลดน้ำหนักทางลัด ไม่ว่าจะเป็นการกินยา…